การเกษตรเรื่องการปลูกมะละกอทนแล้ง
มะละกอทนแล้งหรือมะละกอพันธุ์หนองหญ้าปล้องเป็นมะละกอพันธุ์ผสมระหว่างมะละกอแขกดำกับมะละกอสายน้ำผึ้ง ทำให้มีลักษณะเด่นคือ มีรสชาติหวาน สีสวย เนื้อแน่น และให้ผลผลิตสูง
- การปลูกและการดูแลมะละกอทนแล้ง
หากดินที่ใช้ปลูกมะละกอทนแล้งมีลักษณะเป็นลูกรัง ที่ลาดเนินเขา ควรเว้นระยะประมาณ 2×2.5 เมตร ขุดหลุมให้ลึกพอแค่ให้มิดถุงต้นพันธุ์ จึงทำการปลูกได้ - การให้น้ำมะละกอทนแล้ง
จะให้น้ำมะละกอที่ปลูกใหม่จนต้นมะละกอตั้งตัวได้ โดยให้น้ำประมาณวันละ 2-3 ครั้ง ส่วนในช่วงที่มะละกอติดดอกและผลต้องให้น้ำมะละกออย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้ามะละกอขาดน้ำจะทห้ผลมะละที่ติดไม่สมบูรณ์และอาจจะทำให้ดอกและผลร่วงได้ - การให้ปุ๋ยมะละกอทนแล้ง
มะละกอในระยะต้นอ่อนจนถึงก่อนออกดอก ต้องมีการให้ปุ๋ยมะละกอเพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของกิ่งก้านและใบ โดยใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน เช่น สูตร 24-12-12 หรือ 16-20-0 อัตรา 1ช้อนชาต่อมะละกอ 1 ต้น (ใส่ครั้งแรกหลังจากปลูกมะละกอ 14 วัน และหลังจากนั้นให้ใส่ทุก ๆ 20 วัน) เมื่อมะละกอเริ่มติดดอกให้ใสปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อมะละกอ 1 ต้น
- การไว้ลูกมะละกอทนแล้ง
จะต้องแบ่งมะละกอที่ปลูกเป็น 2 โซน คือโซนที่ขายสุก และโซนที่ขายดิบ หากพบว่าลูกไหนเน่าเสียให้ทำการสอยทิ้งได้เลย เพื่อป้องกันโรคระบาดในมะละกอที่ยังดีอยู่ - ผลผลิตและการตลาด
หลังจากที่ปลูกมะละกอได้ 6 เดือน มะละกอก็จะเริ่มมีผลผลิตออกมา และเมื่อมะละมีอายุได้ 9 เดือน ก็สามารถเก็บผลผลิตทางการเกษตรสำหรับขายสุกได้ โดยสังเกตง่าย ๆ คือ ให้สังเกตตรง แต้ม ที่อยู่ตรงส่วนปลายผลมะละกอเป็นหลัก ในหนึ่งปีจะสามารถเก็บผลมะละกอสุกขายได้สองครั้ง สำหรับราคาก็ขึ้นอยู่กับปริมาณมะละกอในแต่ละปี ถ้ามะละกอมากราคาก็จะลดลง แต่ถ้ามะละกอน้อยราคาที่ขายก็จะลูก โดยเฉลี่ยมะละกอสุกอยู่ที่ 9-12 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนมะละกอดิบจะอยู่ที่ประมาณกิโลละ 2 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด